ด้วยการสานต่อความเป็นนิรันดร์ให้แก่มุมมองอันหาญกล้าที่จะท้าทายทุกขนบนิยมดั้งเดิมของปิแอร-ฟรองซัวส์-ปาสกาล เกอร์แลงผู้ก่อตั้ง บรรดานักสร้างสรรค์ของ “ครอบครัวเกอร์แลง” ณ ปัจจุบันต่างก้าวไปบนครรลองการทำงานด้วยความมุ่งมั่นที่จะก่อกำเนิดผลงานอันงดงาม และเต็มไปด้วยความพิเศษเป็นเลิศเหนือสามัญ ทั้งในส่วนของน้ำหอม และเครื่องสำอางให้แก่ Guerlain อย่างต่อเนื่อง 

งานสรรค์สร้างน้ำหอม

แผนกน้ำหอม Guerlain อยู่ภายใต้การอำนวยการ และวางทิศทางการดำเนินงานโดยคู่สุคนธกร-นักสร้างสรรค์ นั่นก็คือเธียรรี วาซแซร และเดลฟีน เฌลค์

เธียรรี วาซแซร (THIERRY WASSER)


ตลอดเวลานับตั้งแต่เข้าร่วมงานกับ Guerlain และได้ขึ้นดำรงตำแหน่งสุคนธกรผู้อำนวยการ (Master Perfumer) เมื่อปี 2008 รวมถึงได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ “เลฌียง ด็องเนอร” (Légion d'Honneur) อันทรงเกียรติเมื่อปี 2014 เธียรรี วาซแซรเดินทางท่องโลกไปทั่วเพื่อเสาะแสวงวัตถุดิบธรรมชาติอันเปี่ยมคุณลักษณ์พิเศษอย่างยากจะหาได้ทั่วไป

เขาเป็นผู้ออกแบบผลงานอันเลอเลิศเหนือชั้นหลายต่อหลายคอลเลกชันให้แก่ Maison Guerlain โดยคำนึงถึงประโยชน์สุขต่อทั้งมนุษยชาติ และธรรมชาติเป็นสำคัญ เหนืออื่นใด เขาได้สรรค์สร้างผลงานน้ำหอมชั้นสูงระดับปรากฏการณ์ขึ้นถึงสองคอลเลกชัน นั่นก็คือ Absolus d'Orient (อับโซลูส์ ดอริย็อง) และ L'Art & La Matière (ลารต์ ลา มาติเอร) นอกจากนั้น ปัจจุบันเขายังดำรงตำแหน่งผู้แทน Maison ในการออกแบบสร้างสรรค์ผลงานตามความต้องการส่วนบุคคลของลูกค้าเฉพาะราย (bespoke)

เดลฟีน เฌลค์ (DELPHINE JELK)


เดลฟีน เฌลค์ได้เข้าร่วมงานกับ Maison Guerlain เมื่อปี 2014 ผลงานการจัดสัดส่วนองค์ประกอบความหอมอันกรุ่นอวล มอบความรู้สึกอบอุ่นจากแง่มุมอันหลากหลาย และเย้ายวนชวนปรารถนาของเธอนั้น ล้วนมีแบบฉบับชัดเจนจากลูกเล่นขั้วต่างทางความขัดแย้งเพื่อจุดประกายความรู้สึกอย่างรุนแรง ไอริส, มัสค์, และบรรดาหัวน้ำหอมกลิ่นน้ำนม, อัลมอนด์, วานิลลา รวมถึงกลิ่นแป้ง ล้วนเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่เธอชื่นชอบอย่างยิ่ง

ณ จุดบรรจบระหว่างมรดกประวัติศาสตร์กับความทันสมัย เดลฟีนได้สรรค์สร้างผลงานต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งในคอลเลกชันน้ำหอม L'Art & La Matière และ Aqua Allegoria (อาควา อัลเลอกอเรีย) เมื่อปี 2021 เธอได้รับอิสริยยศชั้นอัศวินในสาขาศิลปะ และวรรณกรรม (Chevalier de l'Ordre des Arts et des Lettres)

งานสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ถนอมผิว

ดร. เฟรเดริก บ็องเต (FRÉDÉRIC BONTÉ)

ดร. เฟรเดริก บ็องเต เจ้าของปรัชญาดุษฎีบัณฑิตจากหลักสูตรการวิจัยเภสัชศาสตร์ เป็นผู้สร้างผลงาน ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรคุ้มครองกว่า 50 ชิ้น ตลอดจนเป็นผู้เขียน (หรือร่วมงาน) บทความเพื่อการสื่อสาร และงานตีพิมพ์กว่า 200 ชิ้น ในฐานะผู้อำนวยการประจำแผนกสื่อสารข้อมูลวิทยาศาสตร์ของ Guerlain เขาได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับเวทีงานวิจัยวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาศัยกระบวนการศึกษาอันเฉียบขาดล้ำสมัยถึงสองส่วน นั่นก็คือ Orchidarium® และ Bee LabTM

การตัดสินใจร่วมงานกับมหาวิทยาลัยแห่งเมืองลิโมช (University of Limoges) ประเทศฝรั่งเศสในฐานะพันธมิตรงานวิจัย ได้นำไปสู่การพัฒนาวิทยาการรุดหน้าขึ้นมากมาย อันล้วนเป็นกุญแจสำคัญสู่การสรรค์สร้างผลิตภัณฑ์ถนอมผิวสูตรต่างๆ ของ Abeille Royale  

การส่งผ่าน “ความเป็น” GUERLAIN” อันสืบสานมาตั้งแต่ปี 1828


มรดกของ Maison Guerlain ถูกปลูกฝัง สร้างสรรค์ ขัดเกลาไว้อย่างวิจิตรประณีตจนปรากฏบุคลิกเอกลักษณ์ในเนื้อแท้ผ่านคนในสายสกุลถึงสี่รุ่นจากอดีต และ

ส่งผ่านมาสู่บรรดานักออกแบบรุ่นปัจจุบัน ซึ่งแต่ละคนล้วนมีค่านิยมร่วมเฉกเช่นคนในครอบครัวเดียวกัน นั่นก็คือความกล้าที่จะสร้างสรรค์, อัจฉริยะภาพเชิงวิสัยทัศน์ และพรสวรรค์ด้านเคมี นำมาซึ่งรากฐานความมั่นคง และสืบสานชื่อเสียงเกรียงไกรให้ยิ่งยงสืบไป

ผู้ก่อตั้ง: ปิแอร-ฟรองซัวส์-ปาสกาล เกอร์แลง (PIERRE-FRANÇOIS- PASCAL GUERLAIN)


ปิแอร-ฟรองซัวส์-ปาสกาล เกอร์แลงเกิดในปีค.ศ. 1798 เขาเป็นทั้งนักเคมี และสุคนธกรผู้ออกแบบ-ปรุงสูตรน้ำหอม เมื่อปี 1828 เขาได้เปิดบูติกแห่งแรกของตนขึ้น

บนถนนริโวลิในกลางมหานครปารีสโดยมีผลงานสร้างชื่อประกาศความสำเร็จชิ้นแรกคือ Eau de Cologne Impériale (โอ เดอ โคโลแญ็มเปริยาล) น้ำหอมซึ่งเขาปรุงขึ้นถวายแด่สมเด็จจักรพรรดินีเออเฌนีระหว่างปี 1853 กระนั้น ความรู้ และจินตนาการของเขาหาได้มีขีดจำกัดอยู่แค่น้ำหอมกับเครื่องหอม ทว่ายังปรากฏอย่างโดดเด่นผ่านบรรดาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสุดหรูหรามากมาย อันล้วนอาศัยแรงบันดาลใจจากธรรมชาติในการสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น Blancs de Perles, Crème à la Graisse d'Ours Liquéfiée และ Crème à la Fraise pour le Teint ซึ่งได้รับการสรรค์สร้างขึ้นเพื่อจักรพรรดินีซิซซี (เอลิซาเบ็ธแห่งออสเตรีย) โดยมี Poudre de Lys และ Extrait de Roses ร่วมกันวางรากฐานครรลองศิลป์แห่งเมคอัพให้แก่ Maison Guerlain 

เปิดประตูสู่ยุคใหม่: เอเม เกอร์แลง (AIMÉ GUERLAIN)


เอเม เกอร์แลงได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งอุตสาหกรรมน้ำหอมยุคใหม่” นับจากปีค.ศ. 1864 ภายใต้แรงขับเคลื่อนจากวิสัยทัศน์ล้ำสมัยของเขา Guerlain

โดดเด่นเป็นหนึ่งด้วยความหรูหราในการออกแบบสัดส่วนองค์ประกอบผลงานอันสะท้อนถึงความเป็นเลิศเชิงคุณภาพทุกแง่มุม ในปี 1889 เขาวางจำหน่าย Jicky ผลงานล้ำยุคแห่งวงการน้ำหอมจากการใช้หัวน้ำหอมสังเคราะห์ร่วมกับความซับซ้อนเชิงโครงสร้าง

ในฐานะอัจฉริยบุคคลแห่งวงการสุคนธกรรม เขาสร้างชื่อ และก่อปรากฏการณ์อย่างต่อเนื่องผ่านผลงานสร้างสรรค์ชิ้นเด่นมากมายในแวดวงเครื่องสำอาง รวมถึง Ne m'oubliez pas (เนอ มูบิเอซ ปาส์) ลิปสติกรองรับการเปลี่ยนรีฟิลล์รุ่นแรกของโลกเมื่อปี 1870 ซึ่งเปลี่ยนแปลงกิจวัตร และวิธีใช้ลิปสติกให้แก่ผู้หญิงทั่วโลกไปตลอดกาล

ศิลปิน: ฌาคส์ เกอร์แลง (JACQUES GUERLAIN)


ฌาคส์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเอเม เขาเป็นผู้พัฒนา Guerlinade (เกอร์ลินาด) หัวน้ำหอมปรุงสูตรตำรับลับ ซึ่งสันนิษฐานกันว่าริเริ่มขึ้นตั้งแต่ยุคของ

ปิแอร-ฟรองซัวส์-ปาสกาล จนเสร็จสมบูรณ์ และถูกนำมาใช้เป็นกลิ่นสัญลักษณ์บ่งบอก “ความเป็นเกอร์แลง” ผ่านน้ำหอมหลายรุ่นมาตั้งแต่ปี 1921

ฌาคส์ได้ก่อกำเนิดผลงานอันล้วนประสบความสำเร็จ ได้รับความนิยมชมชอบไปทั่วโลกขึ้นมากมายอย่าง L'Heure Bleue ในปี 1912, Mitsouko ในปี 1919 และเหนืออื่นใดก็คือ Shalimar เมื่อปี 1925 ซึ่งถือเป็นน้ำหอมตระกูลอำพันกลิ่นแรก นอกจากนั้น เขายังสรรค์สร้าง Secret de Bonne Femme (เซอเครต์ เดอ บ็อนน์ ฟามม์) ขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นแรกในการเพิ่ม และหล่อเลี้ยงความชุ่มชื่นให้ผิวพรรณเมื่อปี 1904 และวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่องมายาวนานเกือบหนึ่งศตวรรษ!

นักรักผู้สร้างผลงานแห่งความรัก: ฌอง-ปอล เกอร์แลง (JEAN-PAUL GUERLAIN)


ในฐานะ “นาสิกร” หรือผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศทางการใช้นาสิกประสาทจำแนกแยกแยะ และจดจำกลิ่น ฌอง-ปอล เกอร์แลงเจ้าของหัวใจเสรีสรรค์สร้างน้ำหอมขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนผู้หญิงตามความฝัน หรือจินตนาการของเขาเฉกเช่นงานจิตรกรรม อาทิเช่น Chamade (ชามาด) ในปี 1969, Nahéma (นาเฮมา) ในปี 1979 และเหนืออื่นใดคือ Samsara (ซามซารา) เมื่อปี 1989 น้ำหอมที่ทำให้ “ผู้หญิงได้เกิดใหม่เมื่อใช้ Guerlain” นอกจากนั้น เขายังใช้ศิลปะการปรุงสูตรบรรยายความเป็นผู้ชายผ่านผลงานน้ำหอมด้วยเช่นกัน อย่าง Vétiver (เวติแวร) เมื่อปี 1959 และ Habit Rouge (ฮาบิต์ รูจ) เมื่อปี 1965

เขายังเป็นผู้เริ่มต้นการปรุงสูตรน้ำหอมที่มอบเนื้อกลิ่นบางเบา อ่อนใส และกระจ่างพิสุทธิ์ดุจหยาดน้ำจากมวลพฤกษาธรรมชาติภายใต้ชื่อ Aqua Allegoria คอลเลกชันแรกขึ้นเมื่อปี 1999